
เครื่องมือช่างที่จำเป็นประจำบ้าน เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือช่างสามัญประจำบ้านก็ว่าได้ ที่ทุกบ้านจำเป็นต้องมี เพราะว่างานเล็ก ๆ คุณจะเรียกช่างคงไม่มาแน่ ๆ เป็นงานที่ช่างไม่อยากทำเราจำเป็นที่จะต้องทำเอง แต่ไม่ใช่ว่าช่างเขาจะเล่นตัวอะไรนะครับ แต่เพราะว่าช่างเขาต้องไปทำงานที่เขาเห็นว่าคุ้มกับค่าจ้างที่เขาจะได้รับมากกว่านั่นเอง สมัยนี้เลยหาช่างมาทำงานให้ยากสักหน่อย
แต่การจะเลือกซื้อ เครื่องมือช่าง อะไรสักชิ้นหนึ่ง
แม้จะดูว่าเป็นเรื่องง่ายแต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร แล้วคุณลองไล่มันเป็นข้อ ๆ ไปสิ ว่าต้องการจะเอาไปใช้ทำงานอะไรบ้าง แล้วค่อยหาซื้อมันทีละอย่างเอามาทีละชิ้นก็จะครบถ้วนตามที่เราต้องการ ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้ออะไรควรศึกษาก่อนว่าข้อดี-ข้อเสียของเครื่องมือช่างแต่ละชนิดเป็นเช่นไร ความแตกต่างในเรื่องของการใช้งานอย่างที่เราต้องการเป็นเช่นไร แล้วค่อยตัดสินใจซื้อก็คงไม่สาย ดังนั้นเลยควรที่จะอ่านสิ่งที่เรานำมาให้นี้จนจบ เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองที่จะได้หาซื้อและใช้เครื่องมือช่างให้ตรงกับความต้องการของท่านมากที่สุด
อุปกรณ์งานช่างที่สำคัญ ๆ มี 4 อย่างด้วยกันคือ สว่าน ปั๊มลม ตู้เชื่อม และเลื่อยวงเดือน เป็นเครื่องมือที่ควรจะมีไว้ประจำบ้าน อันดับแรกสว่านเป็นเครื่องมือสำคัญของงานช่าง งานเกือบทุกชนิดเราต้องอาศัยกรรมวิธีการเจาะรู เพื่อประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน งานเจาะรูต้องใช้เครื่องมือคือดอกสว่านกับเครื่องเจาะ เพื่อทำการเจาะชิ้นงานให้ได้รูอย่างที่ต้องการ จุดประสงค์ของการเจาะรูต่าง ๆ ที่ทำขึ้นมาก็เพื่อย้ำหมุดบ้าง จับยึดด้วยน๊อตสกรูบ้าง หรือจะทำเกลียวบ้าง เป็นต้น สว่านไฟฟ้าเป็นเครื่องมือที่พื้นฐานที่สุด และสว่านมันก็มีอยู่หลายขนาดให้คุณได้เลือกซื้อเลือกใช้ให้ตรงกับความต้องการ มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่โดยจะออกแบบมาให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่แตกต่างกันไป

ข้อดี – ข้อเสียของสว่านแบบมีสายกับไร้สาย
พื้นแบบไหน งานแบบไหน ควรใช้สว่านชนิดใด
เรามาดูข้อดีสว่านไร้สายหรือสว่านแบตกับสว่านธรรมดากัน เห็นถกเถียงกันมานานว่าเครื่องมือแบบไหนดีกว่ากัน ซึ่งทั้งนี้การที่จะซื้อเครื่องมือนั้นไว้ใช้งาน ไม่ว่าจะซื้อไว้ใช้เองที่บ้านหรือใช้สำหรับการทำงานก็ตาม คุณควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องมือช่างทั้งประเภทไร้สายและมีสาย เพื่อให้ได้ทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงในการเลือกก็มีอยู่ 3 ข้อด้วยกันคือ น้ำหนัก ความสะดวกในการพกพา ความแรง เป็นต้น ในเรื่องของน้ำหนัก
คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อใช้งานเครื่องมือนั้นไปได้สักพัก โดยที่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย โดยทั่วไปแล้วเครื่องมือแบบมีสายจะมีน้ำหนักน้อยกว่าแบบไร้สาย เนื่องด้วยเพราะว่าแบตเตอรี่ในเครื่องมือไร้สายนั้น จะมีขนาดใหญ่และหนักสำหรับงานที่ต้องใช้เวลานาน ต่อมาก็ความสะดวกในการพกพา ในการทำงานคุณต้องเคลื่อนย้ายเครื่องมือไปในซอกมุมเล็ก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เครื่องมือไร้สายจะทำให้คุณเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากกว่ามีสาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องทำงานในพื้นที่ที่กว้าง เครื่องมือแบบมีสายจะทำให้มีข้อจำกัดเรื่องความยาวของสาย และตำแหน่งที่ตั้งของปลั๊กเสียบนั่นเอง สุดท้ายมาดูเรื่องความแรง สว่านแบบมีสายถูกสร้างมาให้มีความแรงสูงที่สุด และยังไม่มีแบตเตอรี่ใดที่สามารถให้กำลังความแรงได้เท่า หากคุณจะใช้สว่านสำหรับงานขุดเจาะหนัก ๆ ต้องการที่จะใช้ความแรงสูงก็คงต้องเลือกแบบมีสาย ด้วยเหตุผลนี้จึงเป็นข้อด้อยของเครื่องแบบไร้สาย
สว่านไขควงไฟฟ้า ที่เรารู้จักกันเป็นไขควงแบบหมุน สว่านชนิดนี้จะตอบโจทย์การใช้งานในการไขสกรูได้อย่างง่ายดาย โดยการเปลี่ยนจากการใช้มือหมุนมาเป็นการหมุนด้วยมอเตอร์แทน สว่านไขควงไฟฟ้าจะมีกำลังแรงไม่สูงมาก จะมีระบบควบคุมแรงบิดและรอบหมุนได้ รวมถึงมีระบบหมุนที่สามารถกลับทางหมุนได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เหมาะกับงานทั้งการไขสกรูและคลายสกรูนั่นเอง
สว่านไฟฟ้า เป็นสว่านพื้นฐานที่คิดว่าทุกบ้านน่าจะมีกัน ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานเจาะเนื้อไม้ เจาะแผ่นเหล็กไม่หนามาก เจาะวัสดุที่เป็นพลาสติก ส่วนใหญ่สว่านไฟฟ้าจะมีระบบเดียวและกำลังวัตต์จะไม่สูงมาก จึงไม่เหมาะที่จะนำไปเจาะผนังปูนหรืออิฐ
สว่านกระแทก มีลักษณะคล้ายกันกับสว่านไฟฟ้า แต่มีความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง โดยมีกำลังไฟฟ้าอยู่ที่ 550-720 วัตต์โดยประมาณ มีระบบการทำงาน 2 ระบบ คือ การเจาะและการกระแทก ทำให้สามารถเจาะไม้ แผ่นเหล็ก พลาสติกและปูนหรืออิฐได้ เหมาะสำหรับงานที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น คุณอาจจะนำไปใช้ในส่วนของการเจาะผนังบ้านได้ เพื่อที่จะแขวนกรอบรูป นาฬิกา หรือเจาะแขวนผ้าม่านก็ทำได้ด้วยตัวเอง
สว่านโรตารี่ เป็นสว่านงานหนักทำออกมาเพื่องานคอนกรีตโดยเฉพาะ เนื่องจากคอนกรีตบางชนิด เช่น คอนกรีตอัดแรงอย่างเสาอาคาร จะมีความแข็งกว่าคอนกรีตปกติ ทำให้การเลือกใช้สว่านกระแทกธรรมดาไม่ตอบโจทย์ เพราะต้องใช้แรงกดมากขึ้น จึงต้องใช้สว่านโรตารี่เข้ามาช่วย ทำให้งานเจาะคอนกรีตชนิดนี้เป็นงานที่ง่ายขึ้น กำลังไฟฟ้าจะสูงกว่าสว่านแบบอื่น ๆ โดยอยู่ที่ประมาณ 600 วัตต์ขึ้นไป
สว่านไร้สาย ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่ง่ายขึ้น เพราะไม่มีสายไฟให้เกะกะเวลาทำงาน ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ เหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่หรือใช้งานบนที่สูงในที่สายไฟไปไม่ถึง สว่านไร้สายก็มีหลายแบบ ทั้งที่เป็นสว่านไฟฟ้าปกติ สว่านกระแทกไร้สาย และสว่านโรตารี่ไร้สายด้วย

ปั๊มลมก็เป็นเครื่องมือที่สำคัญตัวหนึ่ง เพราะเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานของเครื่องมือลมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเป่าลม บล็อกลม ปืนยิงตะปูลม ไขควงลม กาพ่นสีลม เป็นต้น ปั๊มลมมี 4 ประเภทด้วยกัน คือ
1.ปั๊มลมแบบลูกสูบสายพาน จะใช้มอเตอร์และสายพานเป็นตัวขับเคลื่อนลูกสูบในการดูดและอัดอากาศนั่นเอง ปั๊มลมหรือเครื่องอัดลมที่มีการทำงานแบบไล่ระดับตั้งแต่แรงดันต่ำ แรงดันปานกลาง จนไปถึงแรงดันสูงสุด วิธีการเลือกซื้อปั๊มลมแบบลูกสูบก็คือ ให้ดูในส่วนของมอเตอร์ จุดสังเกตว่าปั๊มลมมีประสิทธิภาพดี ให้ดูที่ตัวสเตเตอร์มอเตอร์ว่าต้องไม่มีขนาดเล็กเกินไป และท่อส่งลมเข้าสู่ถังเก็บหากมีครีบระบายความร้อนก็จะดียิ่งขึ้น
2.ปั๊มลมโรตารี่ เป็นปั๊มลมที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะว่ามีขนาดเล็กทำให้เคลื่อนย้ายสะดวกและมีราคาถูก ปั๊มลมชนิดนี้เป็นปั๊มลมที่ตัวมอเตอร์ขับตรงกับลูกสูบ การส่งผ่านพลังงานจึงทำได้เร็วมาก แต่ต้องใช้น้ำมันในการหล่อลื่นลูกสูบเพื่อลดการสึกหรอที่เกิดขึ้น เสียงจึงค่อนข้างดัง ปั๊มลมโรตารี่ส่วนมากนิยมใช้กับงานเฟอร์นิเจอร์ เหมาะใช้กับเครื่องขัดกระดาษทราย ไขควงลม ปืนลม และเครื่องมือลมตระกูลต่าง ๆ แต่ไม่ควรใช้งานตลอดทั้งวันแบบงานพวกพ่นสี ปั๊มลมโรตารี่มีข้อเสียตรงที่เสียงดัง จึงไม่เหมาะที่จะใช้ในบริเวณที่อยู่อาศัย และไม่เหมาะสำหรับการใช้งานต่อเนื่อง เพราะว่ามอเตอร์ของมันอาจจะร้อนจนทำให้ไหม้ได้
3.ปั๊มลมออยฟรี จะมีเสียงเงียบและไม่ต้องเติมน้ำมันหล่อลื่น เป็นนวัตกรรมล่าสุดที่กำลังได้รับความนิยม ปั๊มลมออยฟรีนี้ได้รับการพัฒนามาจากปั๊มลมโรตารี่ ทำให้การอัดอากาศเข้ามีความรวดเร็ว และยังมีเสียงที่เงียบมากอีกทั้งไม่ต้องเติมน้ำมันอีก เหมาะกับงานที่ต้องการลมสะอาด ไม่มีกลิ่นน้ำมัน เช่น งานทันตแพทย์ที่ต้องใช้เครื่องกรอฟัน งานศิลปะที่ต้องใช้แอร์บรัชสำหรับการพ่นสีลม และยังเหมาะที่จะใช้งานตามบ้านพักอาศัยเพราะมีเสียงที่เงียบไม่ไปรบกวนเพื่อนบ้านนั่นเอง
4.ปั๊มลมแบบสกรู เป็นปั๊มลมขนาดใหญ่ ใช้กับโรงงานอุตสาหกรรมได้เพราะมีกำลังในการพลิตลมมาก ให้แรงลมต่อเนื่องและมีความดันตามขนาดของตู้ เหมาะสำหรับงานหนัก การเลือกซื้อปั๊มลมต้องคำนึงถึงลักษณะงานที่เราจะใช้ด้วย ต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะงานและสถานที่ทำงานของตัวเอง

ต่อมาเลื่อยวงเดือน เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่มีใบเลื่อยเป็นวงกลมมีฟันรอบ ๆ วง สามารตัดชิ้นงานได้อย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับช่าง โดยทั่วไปจะมีหลายรุ่นหลายขนาด มีลูกเล่นที่แตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วจะมีลักษณะการทำงานที่เหมือนกัน คือสามารถปรับความลึกในการตัดได้ รวมถึงการปรับมุม ปรับองศาในการตัดได้ เลื่อยวงเดือนแบ่งออกเป็น 4 ขนาด มีให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสมกับงานแต่ละประเภทได้แก่
1.เลื่อยวงเดือนใบเลื่อยขนาด 7 นิ้ว 24 ฟัน เหมาะสำหรับตัดไม่เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้แดง ไม้หน้าสาม เป็นต้น
2.เลื่อยวงเดือนใบเลื่อยขนาด 7 นิ้ว 30 ฟัน เหมาะสำหรับตัดไม้โครง ไม้จ๊อยท์ ไม่อัด ที่ใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์
3.เลื่อยวงเดือนใบเลื่อยขนาด 7 นิ้ว 40 ฟัน เหมาะสำหรับงานไม้ MDF ซึ่งเป็นไม้อัดที่มีความหนาแน่นปานกลาง ต้องการใบเลื่อยที่มีฟันเยอะ ๆ เพราะจะเลื่อยได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น เนื้อไม้จะได้ไม่แตกหักนั่นเอง
4.เลื่อยวงเดือนใบเลื่อยขนาด 10 นิ้ว 100 ฟันขึ้นไป เหมาะสำหรับตัดแผ่นอะคริลิคหรืออลูมิเนียม ควรเลือกใช้เลื่อยวงเดือนให้เหมาะสมกับงานด้วย เพราะอาจทำให้รอยตัดไม่เรียบ เนื้อไม้อาจแตกได้ และยังเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานอีกด้วย

เครื่องมือช่างอีกตัวคือตู้เชื่อมหรือเครื่องเชื่อม เพื่อการผสมผสานระหว่างโลหะเข้าด้วยกันหรือติดกัน เป็นเครื่องมือที่ช่วยทุ่นแรงให้กับช่างเชื่อมในการเชื่อมโลหะหรือเหล็ก โดยวิธีการทำงานของตู้เชื่อมจะใช้ความร้อนที่เกิดจากการอาร์กของไฟฟ้า หลอมให้โลหะหรือเหล็กละลายติดเป็นเนื้อเดียวกัน ประเภทของตู้เชื่อมมีอยู่ 4 ประเภทด้วยกันคือ
1.ตู้เชื่อมอาร์กอนหรือตู้เชื่อม TIG มีข้อดีคือแนวเชื่อมสวยงาม ชิ้นงานเนียบมีคุณภาพ สะอาด ควันน้อย ไม่มีประกายไฟ ไม่ต้องใช้ลวดเติม สามารถเชื่อมชิ้นงานที่บาง ๆ ได้ แต่มีข้อเสียคือ เชื่อมได้ช้า ราคาค่อนข้างแพง และต้องใช้ความชำนาญในการเชื่อม
2.ตู้เชื่อมอินเวอร์เตอร์หรือเครื่องเชื่อมไฟฟ้า เป็นเครื่องที่เชื่อมด้วยธูปเชื่อม มีข้อดีคือเชื่อมได้เร็ว เคลื่อนย้ายง่าย พกพาสะดวก ราคาประหยัด แต่ก็มาพร้อมข้อเสียคือร้อนและเกิดสะเก็ดไฟหรือประกายไฟ ควันมาก ต้องมีแหล่งจ่ายไฟ ไม่เหมาะกับการเชื่อมชิ้นงานบาง ๆ
3.เครื่องเชื่อม CO2 หรือที่ช่างเรียกกันว่าตู้เชื่อม MIG เป็นเครื่องเชื่อมที่ใช้วิธีการป้อนเนื้อลวดลงที่ชิ้นงานโดยอัตโนมัติ มีข้อดีคือเชื่อมโลหะได้เกือบทุกชนิด สามารถเชื่อมแบบป้อนลวดเติมแบบอัตโนมัติ สามารถเดินแนวเชื่อมได้อย่างต่อเนื่อง และเร็วกว่าการเชื่อมไฟฟ้าที่ใช้ธูปเชื่อม แต่มีข้อเสียคือ ราคาค่อนข้างสูง ต้องใช้ความชำนาญในการเชื่อม การตั้งค่าค่อนข้างซับซ้อน ต้องมีแหล่งจ่ายไฟและใช้แก๊ส ไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ ใช้กระแสไฟสูง
4.เครื่องตัดพลาสม่า เป็นตู้เชื่อมที่ต้องต่อกับปั๊มลม ใช้ลมช่วยในการตัด สามารถตัดชิ้นงานที่เป็นโลหะได้ทุกชนิด มีข้อดีคือสามารถตัดได้สวยงาม สูญเสียเนื้อชิ้นงานน้อย ตัดงานบางได้ดี มีข้อเสียคือมีราคาค่อนข้างสูง คุณภาพของงานนขึ้นอยู่กับความชำนาญ อะไหล่สิ้นเปลืองต้องเปลี่ยนบ่อย
จะเห็นว่าอุปกรณ์เครื่องมือช่างเหล่านี้ ถือว่าเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ทุกบ้านควรมี เพราะใช้งานได้หลากหลายและบ่อยครั้ง แต่ก็ต้องมีวิธีการเลือกซื้อเลือกใช้งานที่ต่างกันออกไป และคุณต้องระมัดระวังในระหว่างการใช้งานด้วย.